งานสาย Tech. ก็เหมือนศิลปิน ถ้าวางเขาให้ถูกที่ถูกตำแหน่ง ปลูกฝัง mindset แบบ entrepreneur ให้เขา จัดสรรส่วนแบ่งให้เป็นธรรม เราจะหลุดจากกับดักพนักงานประจำได้
ประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นพนักงานประจำหรือทำธุรกิจของตัวเองดีกว่ากัน
อาจจะต้องเข้าใจสอง role ที่ไม่เหมือนกันก่อน คนที่ทำฝั่ง management เราจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า white collar ส่วนคนที่เป็นฝั่ง deliver หรือ hands on กับงานจะเรียกว่า blue collar
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คนที่ทำงานส่วนที่เป็น blue collar เวลาทำงานไปซักพัก คนกลุ่มนึงจะเข้าใจองค์กรและอยากจะเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ดีขึ้น จะมีความคิดที่ทำ เราช่วยทำให้ดีขึ้นได้ จะมีความเป็นขบฎอยู่หน่อยๆ หรือเรียกอีกอย่างว่าเค้ามีความเป็น entrepreneur mindset และเวลาเค้าสามารถมองหาช่องทางในการทำเงินได้ ก็จะมีความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามี revenue มาจากหลายช่องทาง ก็จะเริ่มมองหาช่องทางใหม่อยู่เรื่อยๆ
สิ่งที่เป็นความแตกต่างกันระหว่างการเป็นพนักงานและทำของตัวเองที่เห็นได้ชัดๆ เลยก็คือเวลาเป็นพนักงานประจำ เราจะจำกัด scope ของตัวงานอยู่ที่ KPI หรือ metric ที่เราใช้วัดการทำงาน แต่เวลาทำธุรกิจของตัวเอง เราจะไม่มีข้อจำกัดส่วนนี้อีกต่อไป นั่นหมายความว่าเราต้องทำทั้งบริหาร หรือบางทีก็ต้องเขียน code เองด้วย แต่สิ่งที่เราทำได้ ถ้าทำมากก็จะได้มากตามไปด้วย
โดยมากพอเรามีประสบการณ์ในการรับงานนอก ก็จะทำให้เรามีแนวคิดในการทำของตัวเองด้วย
ผมโชคดีที่ทางบริษัทเก่าให้โอกาสในการปรับเปลี่ยนตัวเองให้มาทางด้านนี้ และน่าจะเป็นสูตรที่ค่อนข้างปลอดภัยคือเราเริ่มทำของตัวเองโดยที่มีรายได้ในช่วงต้นอย่างชัดเจน
แต่การไปรับ freelance หรือการจะออกมาทำธุรกิจของตัวเองก็อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน เพราะมันคือการออกจาก safe zone การที่โตในบริษัทเวลาออกมาจะตัวเล็กติดเดียว คุณจะต้องเตรียมที่จะหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ความรู้ที่สำคัญที่จำเป็นต้องรู้คือความรู้ทางด้านภาษี คุณควรจะรู้ทั้งเรื่องภาษีซื้อ ภาษ๊ขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ technology ที่ต้อง update อยู่ตลอดเวลาการทำงานให้ลูกค้า คุณจำเป็นต้องหาความรู้ด้าน tech และสามารถเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้ลูกค้าให้ได้ ไม่ใช่ว่าเวลาทำงานให้ลูกค้าเราจะเอาแต่ technology ล้ำๆ ใหม่ๆ มาใช้ตลอด ถ้าจะให้เปรียบก็เช่นเราเอารถ supercar ไปจ่ายตลาด แบบนี้ก็อาจจะไม่เหมาะ ต้องพิจารณาสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้ได้จริงๆ ด้วย
ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่เราสนใจ อะไรคือ core value ของเรา แล้วเริ่มจากตรงนั้น แล้วดูว่าเราสามารถขยายไปส่วนอื่นๆ ไว้ ถ้าบริบทของการเป็นเจ้าของกิจการเป็นสิ่งที่เรามองหา เราก็เริ่มมองหาโอกาส เวลาเดียวกันก็สร้าง network ไว้ ถ้าคำถามที่เราสำรวจตัวเอง เราสามารถตอบได้อย่างชัดเจน ก็ตัดสินใจจากจุดนั้น ที่สำคัญคือ เราคงจะต้องลองดูก่อน ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เรามองหาหรือไม่